ต้มจืดผักกาดใส่กระดูกหมู ยำวุ้นเส้นรวมมิตร มีใส้กรอก หมูสับ หมูยอ ผักแกล้มเป็นผักชีไทยใบยาว
วิธีอัพเกรด PhpMyadmin 5.0.2 บน Ubuntu 16 and Debian-based distributions 9 and Raspberry Pi 4
เทคนิคการอัพเกรด phpmyadmin 4.9.5 ไป phpmyadmin 5.0.2
ตั้งแต่มีการเปิดตัว ubuntu 18.04 และ Linux distro อื่นๆ คนจำนวนมากก็เริ่มเห็นว่ามีปัญหาเมื่อจะเปลี่ยนไปใช้ php 7.2 และ phpmyadmin 4.6 ขึ้นไป บทความนี้จะนำเสนอวิธีแก้ปัญหาและการดาวโหลด
phpmyadmin version ล่าสุด
1.Back up phpmyadmmin
เราจะเริ่มต้นแบคอัพข้อมูลของเราไว้ก่อนด้วยการเปลี่ยนชื่อโฟลเดอร์2.ดาวโหลด phpmyadmin
phpmyadmin 5 ที่ออกมาใหม่นั่นยังใช้งานได้แต่กับ php 7.1 ขึ้นไปเราสามารถเช็คเวอร์ชั่น php เราได้ด้วยการพิมพ์ php -v phpmyadmin 4.x ตอนนี้อยู่ในช่วงทดสอบและ secuerity fixes และ critical bug fixes เท่านั้นและแนะให้ผู้ใชอัพเกรดเป็นเวอร์ชั่น 5 php 7.1 ขึ้นไปดาวโหลด phpMyadmin 5.x php 5.5 ถึง php 7.4 ดาวโหลด phpMyadmin 4.9.5 ดาวโหลด phpMyadmin 5.0.23.Edit vendor_config.php
ถ้าเราเห็นข้อความ error The $cfg[‘TempDir’] (./tmp/) is not accessible. phpMyAdmin is not able to cache templates and will be slow because of this. ให้เปิด vendor_config.php ด้วยคำสั่งคอมมานไลน์4.Cleanup ลบไฟล์ back up
เราจะทำการลบไฟล์ tar.gz ด้วยคำสั่งคอมมานไลน์เทคนิคการติตตั้ง PHP7.3 บน Raspberry Pi 4 B

เทคนิคการติดตั้ง PHP7.3 บน raspberry pi4
ติดตั้ง php7.3
ติดตั้ง php7.3 เริ่มต้นด้วยการอัพเดทเพื่ออัพเดทเพคเกจที่จะติดตั้งก่อนด้วยคำสั่ง command lineวิธีติดตั้ง WordPress Nginx phpmyadmin MariaDB php 7.0 บน Raspberry Pi 3
วิธีติดตั้ง WordPress Nginx phpmyadmin MariaDB php 7.0 บน Raspberry Pi 3
ดาวโหลด Nginx server ด้วยคำสั่ง command line
sudo apt-get install nginx -y
ดาวโหลด DB server ด้วยคำสั่ง command line
ติด PHP 7.0 ด้วคำสั่ง command line
แก้ไข php config file
go to line 368, 378,389,656,760,809,812,837
ติดตั้ง phpmyadmin
ดาวโหลด wordpress
sudo wget https://wordpress.org/latest.tar.gz
เปลี่ยนชื่อ directory name
cd
สร้างไดเรคทอรีด้วยคำสั่ง command line
ให้สิทธิ์เข้าถึงของยูสเซอร์ด้วยคำสั่ง command line
สร้าง config file ด้วยการกอปปี้ default file มาด้วยคำสั่งcommand line
สร้าง config file ด้วยคำสั่ง command line
เปิดการใช้งาน server block ด้วยคำสั่ง command line
เช็คว่าเรา config server ถูกต้องไหมด้วยคำสั่ง command line
ถ้าไม่มีปัญหาใดๆรีสตาร์ท server ด้วยคำสั่ง command line
สร้าง database ด้วยคำสั่ง
หรือ
CREATE DATABASE mywebsite.com;
CREATE USER ‘mywebsite.com’@’localhost’ IDENTIFIED BY ‘1234567890password’;
GRANT ALL ON mywebsite.com.* TO ‘mywebsite.com’@’localhost’;
FLUSH PRIVILEGES;
เช็ค host error
******* Install Letsencrypt *******
ติดตั้ง certbot ลง nginx
******** แก้ไฟล์ใหญ่อัพโหลดขึ้น host ไม่ได้ 413 – Request Entity Too Large When I am Trying To Upload A File********
sudo nano /etc/nginx/nginx.conf
set client body size to 120M
หรือเอาไปวางใน block server ด้วยก็ได้
client_max_body_size 120M;
เทคนิคการติดตั้ง Apache web server บน Raspberry Pi
Apache web server เทคนิคการติดตั้ง บน Raspberry Pi
เทคนิคการติดตั้ง Apache web server บน Raspberry Pi Apache คือ web server ตัวหนึ่งที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย 44% ของเวปทั่วโลกใช้ Apache ในการทำเวปไชต์ Apache สามมารถไช้ทำเวปไชต์ที่ได้ทั้ง html และ php
บทความนี้เราจะมาติดตั้ง Apache บน Raspberry Pi และการ config Virtaulhost เบื้องต้นสำหรับการทำเวปเซิร์ฟเวอร์
เริ่มต้นติดตั้ง Apache webserver ด้วยคำสั่งและอัพเดท Raspberry Pi ก่อนติดตั้ง Apache webserver
sudo apt-get upgrade
ติดตั้ง Apache webserver ด้วยคำสั่ง
เมื่อ Apache ติดตั้งบน Raspberr Pi ของเราแล้วเราก็จะเช็คว่า Apache ทำงานบนเครื่องของเราหรือยังด้วยการเปิดเบราส์เซอร์ของเราและใส่ IP adress ของเรา เราสามารถเช็ค Raspberry Pi IP adress ของเราด้วยคำสั่ง
เมื่อได้ IP adress และใส่ไปที่เบราส์เซอร์เราก็จะเจอกับหน้า default page ดังรูปข้างล่างนี้
เราจะทำการเพิ่ม pi user เข้าไปที่ /var/www/html เพื่อให้ permissions ในการจัดการไฟล์ใน www-data group ของ apache ด้วยคำสั่ง
sudo chown -R -f www-data:www-data /var/www/html
เมื่อใส่คำสั่งเสร็จแล้วให้เรา logout ออกและ login ใหม่ทีนี้เราก็จะสามารถเข้าไปเปลียน default apache page ได้ด้วยคำสั่ง
เมื่อเราติดตั้ง PHP7.0 เรียบร้อยแล้วเราก็จะทดสอบว่ามันทำงานปกติดีมั้ยโดยเราจะไปโมดิฟายไฟล์ใน /var/www/html/example.com
ทำการเปิดไฟล์ขึ้นมาด้วยคำสั่ง
เมื่อเปิดไฟล์ขึ้นมาให้เราใส่โค้ดข้างล่างนี้
จากนั้นก็กดเซฟไฟล์ ctrl+X กด Y และ ENTER เพื่อเซฟเมื่อเซฟไฟล์แล้วเราก็เปิดเบราส์เซอร์เราขึ้นมาแล้วใส่ Raspberry Pi address ของเราลงไป http;//192.168.1.245/example.com เบราส์เซอร์ก็จะแสดงวันที่ออกมา
เทคนิคการติดตั้ง Thermal Printer 58mm บน Raspberry Pi 2, 3, 3 B+ สำหรับปริ้นต์ recipe
เทคนิคการติดตั้ง Thermal Printer 58mm บน Raspberry Pi 2, 3, 3 B+ สำหรับปริ้นต์ recipe
เทคนิคการติดตั้ง Thermal Printer 58mm บน Raspberry Pi 2, 3, 3 B+ สำหรับปริ้นต์ recipe โดยส่วนตัวผมมีเวปไชต์สำหรับรับออเดอร์อาหารออนไลน์โดยใช้ WordPress และ Woocommerce ทำเวปไชต์ซึ่งผมต้องการที่จะให้ออเดอร์เวลาลูกค้าสั่งปริ้นอัติโนมัติเข้าสู่ครัวให้เชฟได้เลยโดยไม่ต้องไปเสียเวลาเปิดดู Email ผ่าน google cloud printer เพื่อไม่ให้สียเวลาหลังจากใช้เวลากว่าหนึ่งปีหาวิธีที่จะให้ Thermal printer ปริ้นต์ Recipe อัติโนมัติ โดยปกติ Thermal printer จะมี driver มาให้เราเวลาซื้อแต่ driver ส่วนมากจะ Support แต่ Windows แต่ถ้าเราจะใช้ Raspberry Pi ทำปริ้นเตอร์เราก็ต้องลง driver ให้ Raspberry Pi ของเราเองต้องขอบคุณ adafruit ที่เขียน driver ให้เราใช้กันเรามาเริ่มต้นติดตั้ง Thermal printer ด้วยการอัพเดท Raspberry Pi ของเราก่อนด้วยคำสั่ง
อัพเดท Raspberry Pi ด้วยคำสั่ง
ทำการติดตั้ง cups package server printer ด้วยคำสั่ง
เมื่อติดตั้ง cups package server printer เราก็จะลง driver ให้ Raspberry Pi ซึ่งเราจะโหลด driver มาจาก githup ด้วยคำสั่งด้านล่างนี้
cd zj-58
make
sudo ./install
ติดตั้ง SAMBA สำหรับ pi printer server
เมื่อติดตั้งเสร็จเราก็จะมาจัดการแก้ config file
เมื่อเปิด config file ขึ้นมา ให้เปลี่ยนตามโค้ดด้านล่างนี้
[printers]
comment = All Printers
browseable = no
path = /var/spool/samba
printable = yes
guest ok = yes
read only = yes
create mask = 0700# Windows clients look for this share name as a source of downloadable
# printer drivers
[print$]
comment = Printer Drivers
path = /var/lib/samba/printers
browseable = yes
read only = no
guest ok = no
จากนั้นกด Ctrl+X และกด Y และ Enter เพื่อเซฟไฟล์
รีสตาร์ท SAMBA เพื่อเรียกใช้ไฟล์ที่แก้ใหม่ด้วยคำสั่ง command
เมื่อติดตั้ง Driver ให้ Raspberry Pi เสร็จเราก็จะมาเพิ่ม Printer ให้ Raspberry Pi กันโดยสามารถทำได้สองวิธีคือ
1.เข้าไปเพิ่มทาง IP address ของ Raspberry Pi เราสามารถเช็ค IP ของ Raspberry Pi เราได้ด้วยคำสั่ง
เมื่อได้ Ip address แล้วเราก็จะเข้าไปที่เบราส์เซอร์เรา
เราก็จะพบกับหน้าแรกของ Cups แบบนี้ให้กดที่ “Administration” เพื่อแอดปริ้นเตอร์
เมื่อกดหน้า “Administration”. ก็ใส่ username ของ Raspberry Pi คือ pi และ password เมื่อหน้าแอดมินขึ้นมาเราจะเห็นปุ่ม “Add Printer” ดังรูป
เมื่อเรากดปุ่ม “Add Printer” ก็จะมีปริ้นเตอร์ให้เราเลือกขึ้นมาซึ่งในเครื่องเราต้องมีการลง driver ของปริ้นเตอร์ไว้ด้วยถ้าไม่งั้นโปรแกรมจะหาปริ้นเตอร์ไม่เจอ จากนั้นก็กดปุ่ม “continue”
หลังจากคลิกเลือก printer แล้วก็จะมาหนน้าเลือก Driver printer ให้คลิ็กเลือก driver printer รุ่นของเรา
ก่อนจะจบขั้นตอนสุดท้ายเราก็จะมาเจอหน้าให้ตั้งชื่อ Printer server ของเราถ้าต้องการแชร์ printer ให้คอมพิวเตอร์เครื่องอื่นใช้ด้วยให้ติ๊กที่ Share This Printer และกด continue
ขั้นตอนสุดท้ายก็จะมาพบกับหน้าให้ setting กระดาษก็สามารถเลือกได้ว่าจะใช้กระดาษ A4 หรือจะใช้เป็นกระดาษสำหรับ Thermal printer สำหรับ print recipe ขนาด 80 mm หรือ 52 mm ก็ได้
2.ติดตั้งผ่าน GUI ของ Raspberry Pi โดยเข้าไปที่ Pi menu เลือก Preferences และเลือก Print setting ถ้าไม่มี icon printer ให้เช็คดูอีกครั้งว่าเครื่องติดตั้ง ZJ-58 CUPS เสร็จสมบูรณ์หรือไม่ ถ้าติดตั้งเสร็จสมบูรณ์ทุกขั้นตอนตัว icon printer ก็จะขึ้นมาให้เราเมื่อเราคลิ๊กที่ icon printer ปุ่มให้เราเพิ่มปริ้นเตอร์เราก็จะเลือกที่ ZJ-58 ใส่เพิ่มเข้าไปที่ปริ้นเตอร์เรา
เทคนิคการติดตั้ง LetsEncrypt SSL บน Raspberry Pi
เทคนิคการติดตั้ง free LetsEncrypt certificate บน Raspberry Pi + 3 B+
เทคนิคการติดตั้ง free LetsEncrypt SSL certificate บน Raspberry Pi 3 B+ ซึ่งวิธีนี้เราสามารถไปประยุคใช้กับพวก cloud server อย่าง Debian Ubuntu ได้เช่นกันหลังจากที่ผมใช้เวลาอยู่หลายปีเพื่อหาวิธีติดตั้ง free letencrypt ลงบน server แต่ก็ไม่ประสบณ์ความสำเร็จสักทีจนมาได้เจอกับ Raspberry Pi บอร์ดคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กและได้ตัดสินใจซื้อมาศึกษาทำ web server ด้วยตัวเองเละเอาไว้ทดลองออกแบบเวปไชต์และเอาไว้หัดเขียนโค้ดโปรแกรมยามว่างจากผัดกับข้าวและเป็นการฝึกสมองไปในตัวเรามาเริ่มติดตั้ง Letsencrypt กันเลย
ก่อนจะติดตั้ง LetsEncrypt บน Raspberry Pi เราต้องทำการอัพเดท Raspberry Pi ของเราก่อนด้วยคำสั่ง
เมื่ออัพเดท Raspberry Pi เสร็จแล้วเราก็จะเริ่มทำการติดตั้ง LetsEncrypt software บน Raspberry Pi ซึ่งตัว software ที่เราจะติดตั้งนี้ชื่อว่า “Certbot” ถ้าเราลง Apache บน Raspberry pi ให้ติดตั้ง Certbot module แต่ถ้าลง Nginx หรืออย่างอื่นให้ติดตั้ง Certbot รุ่น Standard
เริ่มติดตั้ง Certbot ด้วยคำสั่ง command
Apache
Nginx หรืออย่างอื่น
เมื่อติดตั้ง Certbot เสร็จเรียบร้อยแล้วเราก็จะสามารถติดตั้งใบ certificate จาก Letsencrypt ให้ Raspberry Pi ของเราได้โดยใช้วิธีดังนี้
ถ้าเราลง Apache บน Raspberry Pi ให้ใช้คำสั่งด้านล่างนี้ซึ่งมันจะติดตั้ง certificate ให้อัติโนมัติไปที่ Apache’s configuration ให้เลย
แต่ก่อนที่เราจะติดตั้งใบcertificat จาก LetsEncrypt ได้นั้นต้องแน่ใจว่าเร้าเตอร์ของเราได้ทำการเปิด port 80 และ port 443 แล้วหรือยังและ LetsEncrypt จะติดตั้งได้เฉพาะเวปที่มีโดเมนแล้วเท่านั้นจะติดตั้งบน Localhost ไม่ได้
ติดตั้ง LetsEncrypt บน Apache ด้วยคำสั่ง
เทคนิคการติดตั้ง free LetsEncrypt SSL certificate ถ้าเราใช้ Nginx หรืออย่างอื่นทำ server ก็สามารถทำได้ 2 วิธีคือ ใช้คำสั่ง
1.ใช้ Utilizing standalone built-in web server ซึ่งวิธีนี้จะง่ายมากเพราะตัว sorfware จะติดตั้ง configuration file ให้อัติโนมัติแต่ต้องมั่นใจว่าได้เปิด port80 ในเราเตอร์ไว้และเปลี่ยน example.com เป็นชื่อเวปโดเมนของเรา
2.ใช้วิธี web root วิธีนี้จะใช้เทคนิคความสามารถเพิ่มมากกว่าใช้วิธี built-in web server นิดหน่อยวิธีนี้เราจะต้องมั่นใจว่า root folder เราใน /var/www/example.com มันชี้ไปที่ directory website ที่เราต้องการติดตั้ง certificate ถูกต้องหรือเปล่า และเปลี่ยน example.com เป็นชื่อเวปโดเมนของเรา ซึ่งวิธีนี้เหมาะสำหรับการที่เราทำเวปหลายๆเวปใน server เดียว พิมพ์คำสั่งลงไปใน Terminal Raspberry Pi ด้วยคำสั่ง ด้านล่าง อย่าลืมใส่ชื่อดโเมนเนมเวปไชต์ของเราแทน example.com และต้องดูให้ดีว่าเราใส่ directory folder ถูกต้องหรือเปล่าไม่งั้นก็จะติดตั้ง Letsencrypt ไม่ผ่าน
หลังจากใส่คำสั่ง commands line นั้นลงไปเขาก็จะให้เรากรอก Email address เพื่อที่ทาง Letsencrypt จะได้ส่งแจ้งเตือนเผื่อกรณีเกิดเหตุขัดข้องของใบ certificate หรือแจ้งเตือนการหมดอายุของใบ certificate ซึ่งจะหมดอายุทุกๆ 3 เดือน เมื่อคุณกรอกรายละเอียดครบตามที่ทาง Letsencrypt ต้องการแล้วเราก็จะต้องเอา Code คำสั่งไปวางไว้ใน server ของเราซึ่ง certificate จะถูกเก็บไว้ที่ Folder
เราสามารถหา full chain file ( fullchian.pem) และ certificate’s private key ได้จากในนี้ซึ่ง folder นี้เราต้องเก็บรักษาให้ดีอย่าให้บุคลลภายนอกเข้าถึงได้เพื่อป้องกันการถูกแฮ็คเวป
เทคนิคการติดตั้ง Letsencrypt SSl บน NGINX server
เริ่มต้นด้วยการเปิดไฟล์ไดเรคทอรี่ที่เราสร้างขึ้นมาด้วยคำสั่ง
เมื่อไฟล์เปิดขึ้นมาเราก็จะเจอ server code block ของเราดังโค้ดข้างล่างนี้
listen 80 default_server;
listen [::]:80 default_server;root /usr/share/nginx/html;
index index.html index.htm;server_name example.com;location / {
try_files $uri $uri/ =404;
}
}เราจะทำการเปลี่ยนโค้ดบางส่วนเพื่อติดตั้ง Letsencrypt กัน
หาบรรทัดนี้
ใส่โค้ดนี้ที่ด้านล่าง
การที่เราใส่โค้ดนี้ก็เพื่อให้ Nginx server รับค่าที่ port 443 ซึ่ง port นี้จะรองรับการใช้ HTTPS/SSL เมื่อมีคนเข้าเวปportนี้ก็จะเชื่อมต่อ HTTPS ทันที
หาบรรทัดนี้
ใส่โค้ดนี้ที่ด้านล่างอย่าลืมเปลี่ยน example.com เป็นชื่อโดเมนเวปของเรา
ssl_certificate_key /etc/letsencrypt/live/example.com/privkey.pem;
ซึ่งโค้ดบรรทัดนี้จะเป็นตัวนำทางให้ nginx server ของเราวิ่งไปหาใบรับรองได้ถูกว่าต้องไปหาใบรับรอง SSL ได้ที่ใหนเพื่อตั้งค่าการเชื่อมต่อแบบ HTTPS/SSL
ตัว Private key ตัวนี้จะเป็นตัวเชื่อมต่อ SSL บน server ของเราซึ่งจะมีเฉพาะ server ของเราเท่านั้นที่อ่านและดูไฟลนี้ได้ ควรจะเก็บรักษาไฟล์นี้ให้ดีอย่างปลอดภัย
Fullchain key จะเก็บข้อมูลทั้งหมดที่ server เรามีเวลาเชื่อมต่อผ่าน HTTPS ที่ได้รับการรับรองตามกฏหมาย
เมื่อเราจัดการใส่โค้ดเรียบร้อยใน server ของเราโค้ดจะออกมาหน้าตาดังข้างล่างนี้เมื่อเรามั่นใจว่าโค้ดเราถูกต้องครบถ้วนก็สามารถกดเซฟด้วยคำสั่ง Ctrl+y และก็กด ENTER เพื่อเซฟ
listen 80 default_server;
listen [::]:80 default_serverlisten 443 ssl;root /usr/share/nginx/html;
index index.html index.htm;server_name example.com;ssl_certificate /etc/letsencrypt/live/example.com/fullchain.pem;
ssl_certificate_key /etc/letsencrypt/live/example.com/privkey.pem;location / {
try_files $uri $uri/ =404;
}
}อาจจะดูเหมือนยากนิดหน่อยสำหรับการติดตั้ง Letsencrypt บน server ของเราเองอาจจะไม่เหมือนกับการใช Host server สำเร็จรูปอย่าง siteground ที่มี letsencrypt ให้ใช้ฟรีๆ
เทคนิคการติดตั้ง Cups printer server บน Raspberry Pi
เทคนิคการติดตั้ง Cups printer server บน Raspberry pi
เนื่องจากผมเป็นพ่อครัวและทำร้านเองปัจจุบันร้านอาหารส่วนใหญ่จะมีระบบการสั่งอาหารออนไลน์ผ่านเวปไซต์ หลังจากที่ผมออกแบบเวปไชต์เสร็จก็พยายามหาวิธีให้ออเดอร์ที่ส่งมาจากลูกค้ามันปริ้นออกอัติโนมัติโดยเราไม่ต้องไปเปิดดูในเมลแล้วค่อยลอกมาอีกที ผมใช้เวลาอยู่เป็นปีในการหาวิธีจนมาเจอ Raspberry Pi บอร์ดคอมพิวเตอร์ขนาดจิ๋ว ผมใช้เวลาศึกษาอยู่เป็นปีตั้งแต่หัดใช้ command line และอ่านตามเวปฝรั่งที่เขียนสอนไว้มากมาย
เรามาเริ่มติดตั้ง Cups printer server กันเลย เริ่มต้นด้วยการอัพเดทและอัพเกรด Raspberry Pi ก่อน
sudo apt-get upgrade
เมื่ออัพเดทเรียบร้อยแล้วเราก็มาทำการติดตั้ง Cups printer server กันต่อด้วยคำสั่ง command line
สิ่งหนึ่งที่เราจะต้องทำเพื่อ CUPS เพื่อให้แน่ใจว่ามันทำงานได้ดีบนเครือข่ายในบ้านและนั่นคือการทำให้ CUPS สามารถเข้าถึงได้ทั่วทั้งเครือข่ายของคุณในขณะนี้มันจะบล็อกทราฟฟิกที่ไม่ใช่ localhost ด้วยคำสั่ง commands
sudo /etc/init.d/cups restart
ตอนนี้เราควรจะสามารถเข้าถึงเซิร์ฟเวอร์การพิมพ์ Raspberry Pi จากคอมพิวเตอร์เครื่องใดก็ได้ภายในเครือข่าย หากคุณอยากรู้ IP Raspberry Pi ของคุณคุณสามารถใช้คำสั่งต่อไปนี้:
เมื่อได้ Ip ของ raspberry pi ของเราแล้วแล้วก็ไปที่ browser พิมพ์ ip ของเราและต่อด้วยพอร์ต 631 ดังนี้ อย่าลืมเปลี่ยนเป็น ip ของเรา
ติดตั้ง SAMBA สำหรับ pi printer server
เมื่อติดตั้งเสร็จเราก็จะมาจัดการแก้ config file
เมื่อเปิด config file ขึ้นมา ให้เปลี่ยนตามโค้ดด้านล่างนี้
[printers]
comment = All Printers
browseable = no
path = /var/spool/samba
printable = yes
guest ok = yes
read only = yes
create mask = 0700# Windows clients look for this share name as a source of downloadable
# printer drivers
[print$]
comment = Printer Drivers
path = /var/lib/samba/printers
browseable = yes
read only = no
guest ok = no
จากนั้นกด Ctrl+X และกด Y และ Enter เพื่อเซฟไฟล์
รีสตาร์ท SAMBA เพื่อเรียกใช้ไฟล์ที่แก้ใหม่ด้วยคำสั่ง command
เพิ่มปริ้นเตอร์เข้าไปที่ Cups server
เช็ค IP raspberry Pi ด้วยคำสั่ง
เมื่อได้ IP adress แล้วก็เข้าเบราเซอร์ด้วย ip ของ raspberry i ดังนี้
เราก็จะพบกับหน้าแรกของ Cups แบบนี้ให้กดที่ “Administration” เพื่อแอดปริ้นเตอร์
เมื่อกดหน้า “Administration”. ก็ใส่ username ของ Raspberry Pi คือ pi และ password เมื่อหน้าแอดมินขึ้นมาเราจะเห็นปุ่ม “Add Printer” ดังรูป
เมื่อเรากดปุ่ม “Add Printer” ก็จะมีปริ้นเตอร์ให้เราเลือกขึ้นมาซึ่งในเครื่องเราต้องมีการลง driver ของปริ้นเตอร์ไว้ด้วยถ้าไม่งั้นโปรแกรมจะหาปริ้นเตอร์ไม่เจอ จากนั้นก็กดปุ่ม “continue”
หลังจากคลิกเลือก printer แล้วก็จะมาหนน้าเลือก Driver printer ให้คลิ็กเลือก driver printer รุ่นของเรา
ก่อนจะจบขั้นตอนสุดท้ายเราก็จะมาเจอหน้าให้ตั้งชื่อ Printer server ของเราถ้าต้องการแชร์ printer ให้คอมพิวเตอร์เครื่องอื่นใช้ด้วยให้ติ๊กที่ Share This Printer และกด continue
ขั้นตอนสุดท้ายก็จะมาพบกับหน้าให้ setting กระดาษก็สามารถเลือกได้ว่าจะใช้กระดาษ A4 หรือจะใช้เป็นกระดาษสำหรับ Thermal printer สำหรับ print recipe ขนาด 80 mm หรือ 52 mm ก็ได้